หลายคนอาจเคยมีอาการชาตามปลายมือปลายเท้า ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคระบบประสาทอักเสบอาการดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ก็เป็นสัญญาณว่าร่างกายของคุณกำลังเริ่มไม่ปกติ
อย่าปล่อยให้ลุกลามต่อไป เราควรหาสาเหตุของอาการและรีบรักษา ก่อนจะเกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา
ในบทความนี้ ภก.ขวัญชัย นันทะโย ผู้เชี่ยวชาญจากเมก้า วีแคร์ ได้มาอธิบายสาเหตุและช่วยให้เรารู้จักกับอาการของโรคระบบประสาทอักเสบมากยิ่งขึ้น
มารู้จัก สาเหตุ และอาการ ของโรคระบบประสาทอักเสบ
ระบบประสาทอักเสบ คือ ภาวะที่ระบบประสาทบางส่วนถูกทำลายหรือเสื่อมลง ทำให้การนำกระแสประสาทไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเสียไปหรือช้าลง ซึ่งต้นตอเกิดจากภาวะที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระเกินกว่าที่จะกำจัดได้
โรคนี้มักพบบ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยอาการที่พบคือ อาการชา ซึ่งมักจะเริ่มจากชาที่ปลายเท้าทั้งสองข้าง แล้วเป็นมากขึ้น จนสังเกตว่ามีอาการชาที่ปลายมือด้วย
สาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากพิษสุราเรื้อรัง การขาดวิตามินบี การได้รับโลหะหนักสะสมในร่างกาย เช่น คนที่ใช้ยาฆ่าแมลง ได้รับสารหนู และสารตะกั่วเป็นประจำ ซึ่งถ้าไม่รีบหาสาเหตุ และปล่อยให้ลุกลาม อาจจะเกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ที่รุนแรงขึ้น เช่น เกิดแผลที่เท้า เกิดอาการแน่นท้อง อาเจียน ท้องร่วงหรือท้องผูก ควบคุมการปัสสาวะไม่ได้ หย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น
หาสาเหตุ และรีบรักษาโรคระบบประสาทอักเสบ
ในการรักษา ต้องตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดก่อน อาจต้องตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์หรือตรวจพิเศษอื่นๆ แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น
ถ้าเกิดจากเบาหวาน ต้องควบคุมระดับน้ำตาล,
ถ้าเกิดจากโรคเหน็บชา ต้องรักษาด้วยกลุ่มวิตามินบี ,
ถ้าเกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรัง ต้องลดปริมาณแอลกอฮอล์ลง เป็นต้น
และถ้ามีอาการแขนขาอ่อนแรงเกิดขึ้น อาจให้การรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมด้วย ซึ่งถ้ารักษาอย่างตรงจุด ก็มีทางรักษาให้หายขาดได้ สำหรับกลุ่มยาที่นิยมใช้เพื่อการรักษาระบบประสาทอักเสบ มี 2 กลุ่มได้แก่
1. การรักษาด้วยกลุ่มวิตามินบี : (ช่วยรักษาอาการชา และซ่อมแซมเส้นประสาท)
วิตามินบี มีความจำเป็นต่อการบำรุงระบบประสาท มีส่วนช่วยในการสร้างสื่อประสาท และช่วยซ่อมแซมเส้นประสาท จึงส่งผลต่อการลดอาการชาปลายมือปลายเท้าได้
กลุ่มวิตามินบีดังกล่าวได้แก่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 กรดโฟลิค และวิตามินบี 12
โดยเฉพาะวิตามินบี 12 จากหลายการวิจัย พบว่า การที่ร่างกายได้รับวิตามินบี 12 วันละ 1,500 ไมโครกรัม ต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ สามารถช่วยรักษาอาการระบบประสาทอักเสบได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้เพราะวิตามินบี 12 มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเยื่อหุ้มประสาทและป้องกันการเสื่อมของเส้นประสาท
วิตามินบี 12 มีหลายรูปแบบ โดยรูปแบบ Methylcobalamin จะอยู่ในรูปที่ออกฤทธิ์ได้เลย (active form) ส่วนรูปแบบ Cyanocobalamin จะต้องผ่านกระบวนการแปรสภาพให้เป็น Methylcobalamin ก่อน และการศึกษายังพบ Methylcobalamin ในน้ำเลี้ยงสมอง (Cerebro spinal fluid) เป็นสัดส่วนถึง 90% เมื่อเทียบกับวิตามินบี 12 รูปแบบอื่นๆ ดังนั้น การเลือกใช้วิตามินบี 12 ในรูปแบบ Methylcobalamin จึงเหมาะสมในการรักษาระบบประสาทอักเสบมากกว่า
วิตามินบี 12 มีหลายรูปแบบ โดยรูปแบบ Methylcobalamin จะอยู่ในรูปที่ออกฤทธิ์ได้เลย (active form) ส่วนรูปแบบ Cyanocobalamin จะต้องผ่านกระบวนการแปรสภาพให้เป็น Methylcobalamin ก่อน และการศึกษายังพบ Methylcobalamin ในน้ำเลี้ยงสมอง (Cerebro spinal fluid) เป็นสัดส่วนถึง 90% เมื่อเทียบกับวิตามินบี 12 รูปแบบอื่นๆ ดังนั้น การเลือกใช้วิตามินบี 12 ในรูปแบบ Methylcobalamin จึงเหมาะสมในการรักษาระบบประสาทอักเสบมากกว่า
2. การรักษา ด้วยกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ : (ช่วยรักษาที่ต้นเหตุ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน)
ในผู้ป่วยเบาหวาน พบการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายปริมาณสูงมาก (oxidative stress) ทำให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ เร็วขึ้น จากการศึกษาพบว่า แม้ผู้ป่วยเบาหวานจะพยายามควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติแล้วก็ตาม แต่มากกว่า 20% ของผู้ป่วยก็ยังเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้น โดยระยะแรกเริ่ม อาจพบปลายประสาทเสื่อม ปวดเจ็บ ชาตามปลายมือปลายเท้า ระยะต่อมาจะทำให้ระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ ไต การย่อยอาหารผิดปกติ
การป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายเซลล์ หรือรักษาระบบประสาทอักเสบที่ต้นตอ จึงจำเป็นต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยป้องกันหรือลดภาวะอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ภก.ขวัญชัย นันทะโย ผู้เชี่ยวชาญจากเมก้า วีแคร์
การตรวจเต้านมควรทำทั้งในท่านั่งและท่านอน สิ่งที่สำคัญของการตรวจ คือ การตรวจให้ทั่วพื้นที่ของบริเวณเต้านม โดยใช้ด้านฝ่ามือของนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง บริเวณค่อนไปทางปลายนิ้ว เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ไวต่อการสัมผัส การคลำเต้านมจะต้องคลำให้ทั่วทั้งพื้นที่ของเต้านม ในลักษณะคลึงวนเป็นก้นหอยเล็ก ๆ ไปตามเต้านม เนื่องจากตำแหน่งของเต้านมที่อยู่บนผนังทรวงอกเป็นตำแหน่งที่สามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมได้
สังเกตความผิดปกติว่ามีของเหลว หรือเลือดออกจากหัวนมในขณะที่กดบริเวณปานนมหรือไม่ การบีบบริเวณหัวนมควรทำด้วยความนิ่มนวล ไม่ควรบีบเค้นบริเวณหัวนมอย่างรุนแรง เพราะหากมีความผิดปกติจะพบว่ามีน้ำหรือเลือดออกจากหัวนมเมื่อมีการกดโดยไม่ต้องบีบเค้น
ในท่านั่ง ใช้นิ้วมือคลำบริเวณเต้านม ส่วนที่อยู่ใต้รักแร้ว่ามีก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองที่โตผิดปกติหรือไม่ โดยการห้อยแขนลงมาเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าอกหย่อนลง เนื่องจากหากกล้ามเนื้อตึงเกินไปจะไม่สามารถคลำรักแร้ได้อย่างชัดเจน
การคลำเต้านม จะใช้นิ้วมือ 3 นิ้ว คลำในลักษณะคลึงวนเป็นก้นหอยเล็ก ๆ บริเวณเต้านมให้ทั่วทั้งเต้านม ในระดับความแรง 3 ระดับ คือ ระดับตื้นลงไปจากผิวหนังเล็กน้อย ระดับที่ลึกลงไป และระดับที่ลึกถึงผนังหน้าอก โดยทิศทางในการคลำสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งสามารถเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้
คลำในแนวก้นหอย
โดยสามารถคลำได้ในทิศทางทั้งทวนเข็มนาฬิกา หรือตามเข็มนาฬิกาก็ได้
การคลำในแนวดิ่ง
จากใต้เต้านมจนถึงกระดูก ไหปลาร้า คลำจากบนลงล่าง หรือจากล่างขึ้นบนก็ได้
งานวิจัยชี้แมมโมแกรมมะเร็งเต้านม มีโทษมากกว่าประโยชน์
ผลการวิจัยต่างประเทศล่าสุดชี้การตรวจหามะเร็งเต้มนมด้วย “ระบบแมมโมแกรม-เอ็กซ์เรย์” อาจให้โทษมากกว่าประโยชน์
ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการเอ็กซ์เรย์เพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือการทำแมมโมแรมราวๆ 37 ล้านรายต่อปี และเกือบสามในสี่ของผู้หญิงในวัยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เข้ารับการทำแมมโมแกรมในช่วงปีที่ผ่านมา
คำถามที่นักวิจัยทางการแพทย์ต้องการหาคำตอบ คือ การตรวจพบมะเร็งเต้านมที่เล็กมากจนใช้มือคลำไม่พบ แต่ใช้ mammogram ตรวจพบนั้น ช่วยป้องกันการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านมอย่างได้ผลจริงหรือไม่
มีงานวิจัยเรื่องแมมโมแกรมที่กระทำในประเทศแคนาดา ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ที่สุดและละเอียดรอบคอบมากที่สุดชิ้นหนึ่ง โดยมีผู้หญิงเข้าร่วมโครงการ 90,000 รายและใช้เวลาติดตามศึกษานานถึง 25 ปี
และผลการวิจัยชิ้นนี้ที่เพิ่งเปิดเผยออกมา ระบุว่า อัตราการเสียชีวิตของผู้หญิงจากโรคมะเร็งเต้านมและจากโรคอื่นๆ ไม่แตกต่างกันไม่ว่าจะได้รับการทำแมมโมแกรมหรือไม่ งานวิจัยชิ้นนี้กล่าวต่อไปด้วยว่า การทำแมมโมแกรมยังให้โทษได้อีกด้วย เพราะพบว่า หนึ่งในห้าของผู้ที่การทำแมมโมแกรมระบุว่าเป็นมะเร็งและต้องรับการบำบัดรักษานั้น ปรากฏว่ามะเร็งที่ตรวจพบ ไม่เป็นภัยต่อสุขภาพและไม่จำเป็นต้องบำบัดรักษาด้วยการทำเคมีบำบัด การผ่าตัด หรือการฉายรังสี
ผลการวิจัยนี้ตีพิมพ์ไว้แล้วในวารสาร British Medical Journal และคำตอบที่นักวิจัยได้จากงานชิ้นนี้ ก็คือ การตรวจพบมะเร็งเต้านมที่เล็กมากจนใช้มือคลำไม่พบ แต่ใช้แมมโมแกรมตรวจพบนั้น ไม่ได้เพิ่มความได้เปรียบให้กับผู้หญิง
ความเห็นเรื่องการทำแมมโมแกรมนี้แตกแยกกันเป็นสองฝ่ายมานานแล้วในวงการแพทย์ ฝ่ายหนึ่งซึ่งมีทั้งแพทย์และคนไข้ที่เป็นมะเร็งเต้านม เชื่อว่าการทำแมมโมแกรมเป็นประจำช่วยป้องกันการเสียชีวิต ในขณะที่นักวิจัยทางการแพทย์ ซี่งมีจำนวนมากขึ้นทุกที ให้ความเห็นว่า ไม่มีหลักฐานรองรับความเชื่อดังกล่าว หรือถ้ามี ก็เป็นหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ
บทบรรณาธิการของวารสาร British Medical Journal ที่ตีพิมพ์ควบคู่กับผลงานวิจัยชิ้นนี้ กล่าวว่า งานวิจัยก่อนหน้านี้ กระทำกันขึ้นก่อนจะมียาอย่างเช่น Tamoxifen ซึ่งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งได้อย่างมาก จึงทำให้การตรวจพบแต่เนิ่นๆ มีความสำคัญน้อยลง
ขณะเดียวกัน ผู้หญิงสมัยนี้มีความเข้าใจในอันตรายของโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น และเอาใจใส่กับร่างกายของตนได้ดีกว่าและมากกว่าผู้หญิงในสมัยก่อน นอกจากนี้ งานวิจัยเป็นจำนวนมากไม่ได้ยึดถือมาตรฐานการทดลองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในการสุ่มตัวอย่างจัดกลุ่มที่ได้รับการทำแมมโมแกรมกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการทำแมมโมแกรม
นักวิจัยยังพบด้วยว่า มีมะเร็งหลายชนิด ที่เติบโตอย่างเชื่องช้า หรือไม่เติบโตเลยและไม่ต้องบำบัดรักษา มะเร็งบางชนิดหดตัวลงเองหรือหายไปเลยก็มี ปัญหาก็คือ เมื่อทำแมมโมแกรมและพบมะเร็ง แพทย์ต้องให้การบำบัดรักษา เพราะไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่า จะเป็นมะเร็งอันตรายหรือไม่
อัตราการบำบัดรักษาในลักษณะนี้เพิ่มสูงขึ้นเป็นหนึ่งในสาม ถ้ารวมผลการตรวจพบมะเร็งในท่อน้ำนมในเต้านม ที่เรียกว่า Ductal Carcinoma in situ (D.C.I.S.) ซึ่งต้องใช้การทำแมมโมแกรมเท่านั้นจึงจะพบ ปัญหาก็คือมะเร็งชนิดนี้อาจจะหลุดออกจากท่อน้ำนมเข้าไปในเต้านม หรืออาจไม่เข้าไปเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจพบด้วยการทำแมมโมแกรม แพทย์มักจะทำการผ่าตัดถึงขั้นตัดเต้านมออก
อย่างไรก็ตามเรื่องควรจะรับการทำแมมโมแกรมหรือไม่นี้ยังไม่มีข้อยุติ ในเวลานี้มีแต่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ประเทศเดียวที่ออกมาแนะนำว่า ไม่ควรทำ ในขณะที่ American Cancer Society มีคำแถลงออกมาว่า กำลังทบทวนผลการวิจัยนี้และจะมีคำแนะนำที่ปรับเปลี่ยนออกมาให้ในเวลาต่อไปภายในปีนี้
ที่มาของบทความ: http://www.theguardian.com/commentisfree/2014/apr/28/breast-cancer-mammograms-early-detection-research
ข้อแนะนำ
กันไว้ดีกว่าแก้ หากคุณผู้หญิงกลัวจะมีมะเร็งเต้านมเป็นของตัวเอง และไม่อยากเสี่ยงกับอันตรายจากรังสีในการตรวจแมมโมแกรม เราก็มีทางเลือก คือการตรวจเต้านมด้วยตนเอง (ตามวิธีที่จะอธิบายต่อไป) หรือ ทานอาหารเสริม ที่มี สารสกัด “เซซามิน” ซึ่งเป็นสารสกัดจากงาดำ มีงานวิจัยรับรองว่า เซซามินช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง โดยทำให้เซลล์มะเร็งมีอายุสั้น (ทำให้เซลล์มะเร็งเข้าสู่วงจร Dead Cell) และควรทานอาหารเเสริมที่มีส่วนผสมของรำข้าวสีนิล ด้วย ซึ่งจากงานวิจัยที่ใช้เทคโนโลยี่ ที่เรียกว่า high througput screening และในสัตว์ทดลอง พบว่า สารในกลุ่มของ anthocyanins 2 ชนิดคือ Peonidin-3-glucoside และ cyaniding-3-glucoside สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมชนิดที่มี Human epidermal growth factor receptor 2 (HER2) แสดงออกมากกว่าปรกติได้
วิธีการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง ควรทำอย่างสม่ำเสมอโดยทำการตรวจเดือนละ 1 ครั้ง ในช่วงตั้งแต่มีประจำเดือนประมาณ 7-10 วัน โดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกของการมีประจำเดือน หรือตรวจในช่วงที่รู้สึกว่าเต้านมนิ่มลง เนื่องจากในช่วงระยะเวลานั้นเต้านมจะไม่ตึงตัวมากจึงสามารถคลำก้อนได้ชัดเจน หรือคลำก้อนที่มีขนาดที่ยังเล็กได้โดยง่าย
ส่วนผู้ที่เข้าสู่วัยทองซึ่งประจำเดือนหมดไปแล้ว หรือได้รับการผ่าตัดมดลูกไปแล้ว ให้กำหนดวันที่แน่นอนสำหรับการตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือนเพื่อการจดจำง่าย และให้ตรวจวันเดียวกันของทุกเดือน เช่น วันที่ 1 ของเดือน หรือวันสุดท้ายของเดือน เป็นต้น
ขั้นตอนแรกของการตรวจเต้านมด้วยตนเอง คือ การสังเกตความผิดปกติด้วยการดูลักษณะภายนอกของเต้านม
การดู
โดยให้ยืนตรงมือแนบลำตัว สังเกตลักษณะของเต้านมว่ามีการเปลี่ยนแปลงของหัวนมหรือไม่ ลักษณะของผิวหนังมีรอยบุ๋ม มีก้อนนูน ผิวหนังบวม มีแผลหรือมีเส้นเลือดสีดำใต้ผิวหนังมากเพิ่มขึ้นที่ผิดปกติหรือไม่
การดูให้สังเกตเปรียบเทียบเต้านมทั้งสองข้างว่าแตกต่างผิดไปจากเดิมหรือไม่ด้วย ทำการหันตัวเล็กน้อยเพื่อสามารถมองเห็นด้านข้างของเต้านมทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน สังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและรอยบุ๋มเช่นเดียวกัน
จากนั้นให้ยกมือขึ้นทั้ง 2 ข้าง เพื่อสังเกตความผิดปกติของรอยบุ๋มของผิวหนังบริเวณเต้านมที่เกิดจากการดึงรั้ง เนื่องจากในรายที่เป็นมะเร็งอาจจะมีการดึงรั้งของเนื้อเยื่อให้เกิดรอยบุ๋มได้
เอามือท้าวสะเอวเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าอกตึงตัว แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อให้สังเกตรอยดึงรั้งของผิวหนังได้ง่ายขึ้น เมื่อไม่พบความผิดปกติจากการสังเกตดูที่เต้านมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการคลำที่เต้านม
การคลำ
จากนั้นทำการตรวจโดยการนอนบนที่นอนยกแขนหนุนศีรษะ ในท่านี้อาจจะใช้ผ้าขนหนูม้วน หรือใช้หมอนขนาดเล็กสอดรองที่บริเวณหลังและไหล่ข้างที่ต้องการตรวจ เพื่อทำให้บริเวณทรวงอกด้านนั้นแอ่นขึ้นมาเล็กน้อย จะสามารถคลำได้ชัดเจนดียิ่งขึ้น
โดยสามารถคลำได้ในทิศทางทั้งทวนเข็มนาฬิกา หรือตามเข็มนาฬิกาก็ได้
จากใต้เต้านมจนถึงกระดูก ไหปลาร้า คลำจากบนลงล่าง หรือจากล่างขึ้นบนก็ได้
คลำในแนวรูปลิ่ม
ทิศทางเป็นเส้นตรงรัศมีในออกนอก หรือนอกเข้าในก็ได้เช่นเดียวกัน
ทิศทางเป็นเส้นตรงรัศมีในออกนอก หรือนอกเข้าในก็ได้เช่นเดียวกัน
สำหรับผู้ที่มีเต้านมใหญ่หรือเนื้อเต้านมมาก แนะนำให้นอนตะแคงโดยเอาด้านข้างของลำตัวด้านนั้นให้สูงขึ้น เพื่อที่จะคลำด้านข้างได้ชัดเจน เนื่องจากเนื้อเต้านมจะไปกองอยู่ที่บริเวณด้านข้างทำให้คลำได้ยาก ใช้วิธีคลำให้คลำลงล่างและขึ้นบนไปมาจนทั่วบริเวณ จากนั้นให้นอนหงายเพื่อคลำด้านในให้ทั่วเช่นเดียวกัน
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นการตรวจที่จะเกิดประโยชน์อย่างมาก หากได้ทำการฝึกฝนเป็นประจำและสม่ำเสมอจนชำนาญ เพื่อให้ทราบสภาพของเต้านมตนเอง และเมื่อพบสิ่งผิดปกติที่เปลี่ยนแปลงไปจะสามารถสังเกตได้โดยง่าย สิ่งที่สำคัญของการตรวจเต้านมด้วยตนเอง คือ ทำการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างถูกวิธี เดือนละ 1 ครั้ง และคลำไปให้ทั่วบริเวณเต้านมและรักแร้
ในกรณีที่ตรวจพบความผิดปกติ หรือสงสัยในสิ่งที่ตรวจพบว่าอาจจะมีความผิดปกติเกิดขึ้น ท่านควรจะไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจซ้ำหรือตรวจเพิ่มเติม เพื่อให้การวินิจฉัยและให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่ท่านต่อไป
ปัญหาสุขภาพกระดูกเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โภชนาการที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย หรือจากรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้อง โดยที่คุณเองก็ไม่รู้ตัว ทั้งหมดนี้ทำให้คุณต้องเผชิญกับปัญหาความผิดปกติ อันเกี่ยวเนื่องกับกระดูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่อาการปวดหลังและคอ ไปจนถึง โรคกระดูกสันหลังเสื่อม โรคกระดูกสันหลังคดงอผิดปกติ หรือโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ซึ่งสาเหตุสำคัญของอาการเจ็บป่วยเหล่านี้ มักเกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวันนั่นเอง และนี่คือพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง หากคุณไม่อยากเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพกระดูกที่จะตามมา
อยากให้กระดูกแข็งแรง อยู่กับเราไปนาน ๆ อย่าทำลายกระดูกด้วยวิธีเหล่านี้ กันเลยค่ะ
1. นั่งไขว่ห้าง
จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด
จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด
2. นั่งหลังงอ หลังค่อม
เช่น การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จนทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแล็คติก มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
เช่น การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จนทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแล็คติก มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
3. ยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว
การยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จึงจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย
การยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จึงจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย
4. ใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง
จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง
จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง
5. หิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ
จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ
จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ
6. นั่งกอดอก
จะทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้
จะทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้
7. นั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น
จะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัว
จะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัว
8. ยืนแอ่นพุง/หลังค่อม
การยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อยเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่น และทำให้ไม่ปวดหลัง
การยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อยเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่น และทำให้ไม่ปวดหลัง
9. สะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว
ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋าโดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้เกิดการทำงานหนักอยู่ข้างเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้
ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋าโดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้เกิดการทำงานหนักอยู่ข้างเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้
10. ขดตัว/นอนตัวเอียง
ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคงให้หาหมอนข้างก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง
ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคงให้หาหมอนข้างก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง
ขอบคุณที่มาข้อมูล : โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ